• TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.
  • TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.
วิธีรักษาใต้คางบวมเป็นก้อนและปัญหาหลังเสริมคางให้ได้รูปคางสมส่วน

วิธีรักษาใต้คางบวมเป็นก้อนและปัญหาหลังเสริมคางให้ได้รูปคางสมส่วน

Key Takeaway

  • การเสริมคาง คือการศัลยกรรมที่ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีสัดส่วนที่สมดุลและสวยงามขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีคางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่น คางยาว หรือคางสั้น เพื่อให้ใบหน้าดูมีมิติและสมส่วน
  • อาหารที่ควรกินเพื่อการฟื้นฟูหลังเสริมคาง ได้แก่ น้ำเปล่า อาหารที่มีโปรตีนสูง อาหารที่มีไขมันดี อาหารที่มีวิตามินซี และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง 
  • อาหารที่ควรงดหลังเสริมคาง ได้แก่ อาหารรสเผ็ดจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหมักดองและอาหารทะเล รวมถึงวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • หลังเสริมคางสามารถเกิดปัญหาได้ เช่น คางบวมเป็นก้อน คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่นหรือคางยาว และคางสั้นหรือคางถอย ซึ่งวิธีการแก้ไขรักษาทำได้หลายวิธี เช่น การปรับพฤติกรรม การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบท็อกซ์ การฉีดไขมัน หรือการผ่าตัด เป็นต้น

บทความนี้จะพามาดูวิธีรักษาใต้คางบวมเป็นก้อน วิธีแก้คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่นหรือคางยาว และคางสั้นหรือคางถอย พร้อมวิธีดูแลตัวเองหลังเสริมคาง ไม่ให้เกิดผลข้างเคียง

การเสริมคาง คืออะไร

การเสริมคาง คือการศัลยกรรมที่ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีสัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางเล็ก ซึ่งทำให้ใบหน้าดูสั้นกลม รวมถึงแก้ไขปัญหารูปคางในลักษณะต่างๆ เช่น คางบุ๋ม คางเหลี่ยม คางตัด คางยาว และคางเบี้ยว 

วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการใช้ซิลิโคนฝังใต้ผิวหนังบริเวณคาง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ถาวรและเลือกขนาดรวมถึงรูปทรงให้เหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละคนได้ แม้หลายๆ คนอาจจะยังมีความกังวลใจ โดยเฉพาะปัญหาหลังเสริมคาง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะแต่ละปัญหาย่อมมีทางรักษา

รวม 5 ปัญหาหลังเสริมคาง มีอะไรบ้าง?

หากใครไปเสริมคางมาแล้วเกิดปัญหาหลังเสริมคาง มาดูสาเหตุ วิธีรักษา วิธีทำความสะอาดแผล หรือวิธีดูแลตัวเองหลังรักษากัน ดังนี้

1. คางบวมเป็นก้อน

1. คางบวมเป็นก้อน

หลังการเสริมคางหรือฉีดฟิลเลอร์คาง ผู้เข้ารับการรักษาอาจมีอาการบวมเล็กน้อยบริเวณคางหรือมีรอยเข็มจากการฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงและหายเป็นปกติภายใน 3 – 7 วันหลังการรักษา 

อย่างไรก็ตาม หากผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วอาการบวมยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง พร้อมทั้งมีอาการแสบคัน ผิวหนังเริ่มแดงและคล้ำเป็นก้อน อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือการแพ้ฟิลเลอร์ ในกรณีนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการฉีดสารสลายฟิลเลอร์โดยเร็วที่สุด

สาเหตุ

  • การใช้ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่เกินไปและไม่ได้รับการเหลาให้เข้ากับสัดส่วนใบหน้า ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอาการบวมใต้คางแล้ว ยังส่งผลให้ใบหน้าดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ
  • การใช้บริการคลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือหรือแพทย์ที่ไม่มีใบรับรอง ซึ่งอาจมีการใช้สารแปลกปลอมที่ไม่ใช่ฟิลเลอร์แท้ เช่น ซิลิโคนเหลวที่ไม่ย่อยสลาย ทำให้เกิดอาการนูนและบวมผิดปกติ
  • การวางตำแหน่งซิลิโคนไม่ถูกต้อง โดยหลังการผ่าตัดอาจเกิดการห้อยของซิลิโคน ทำให้ดูเหมือนคางบวม
  • การฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการทับถมของฟิลเลอร์ใต้ผิวหนังจนกลายเป็นอาการบวมบริเวณใต้คาง
  •  

วิธีแก้ไขรักษา

วิธีรักษาและการแก้ไขคางบวมเป็นก้อนมีด้วยกัน 2 วิธีหลักๆ ดังนี้  

  1. การผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน แพทย์จะผ่าตัดเพื่อนำซิลิโคนเก่าที่มีปัญหาออก และแทนที่ด้วยซิลิโคนชิ้นใหม่ที่ได้รับการเหลาให้เหมาะสมกับสัดส่วนใบหน้า พร้อมทั้งวางในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการไหลย้อย ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
  2. การขูดฟิลเลอร์ออกและผ่าตัดเสริมคาง แพทย์เริ่มจากการตรวจสอบชนิดและมาตรฐานของฟิลเลอร์ที่ใช้ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม จากนั้นผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังออกเพื่อลดอาการบวม แล้วเสริมซิลิโคนใต้คางเพื่อให้ได้รูปทรงที่ต้องการ

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา

  • ในช่วง 1 – 3 วันแรกหลังผ่าตัด ควรประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม 
  • ในสัปดาห์แรกควรใช้หมอนยกระดับศีรษะขณะนอน 
  • หากมีอาการบวมเขียวบริเวณคาง ให้ประคบร้อนเพื่อลดอาการบวมใต้ผิวหนัง 
  • เลือกอาหารที่มีเนื้อนุ่ม เคี้ยวง่าย เพื่อลดการขยับบริเวณคาง 
  • ทำความสะอาดปากอย่างดีด้วยการบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันเศษอาหารสะสมบริเวณแผลผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยากลุ่มแอสไพรินเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือน 
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจกระทบกระเทือนบริเวณคางเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน เพื่อให้คางเข้ารูปและได้ทรงที่สวยงาม
2. คางเบี้ยว

2. คางเบี้ยว

อาการคางเบี้ยว เป็นภาวะที่คางไม่อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางใบหน้าหรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ในบางรายยังอาจประสบปัญหาในการใช้งาน เช่น การเคี้ยวอาหารหรือการพูดที่ลำบากขึ้น แม้ว่าอาการดังกล่าวจะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ส่งผลให้ผู้ที่มีภาวะคางเบี้ยวต้องหาวิธีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ให้ดีขึ้น

สาเหตุ

  • คางเบี้ยวแต่กำเนิด เป็นผลมาจากการมีขากรรไกรล่างที่ไม่สมส่วนและโครงหน้าบางส่วนที่เอียง ซึ่งต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดขากรรไกรให้เข้ารูป 
  • คางเบี้ยวจากพฤติกรรม เกิดจากการทำพฤติกรรมบางอย่างจนติดเป็นนิสัย เช่น การวางคางพาดบนขอบโต๊ะหรือการนั่งเท้าคาง ซึ่งเมื่อทำบ่อยๆ ก็สามารถทำให้คางเบี้ยวได้
  • คางเบี้ยวจากการทำศัลยกรรม แบ่งเป็น 2 กรณีคือ ปัจจัยทางการแพทย์ เช่น แพทย์เหลาซิลิโคนผิดขนาดหรือมีประสบการณ์น้อย ซึ่งควรรีบแก้ไขก่อนที่จะเกิดพังผืดมาเกาะซิลิโคนจนแก้ไขยาก ส่วนปัจจัยจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น การเท้าคางขณะที่แผลยังไม่เข้าที่ หรือการได้รับอุบัติเหตุกระแทกบริเวณคางจนทำให้ซิลิโคนเคลื่อนที่ ในกรณีนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการแก้ไขโดยเร็ว

วิธีแก้ไขรักษา

วิธีการแก้คางเบี้ยวมีด้วยกัน 4 วิธีหลักๆ ดังนี้  

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เหมาะสำหรับคางเบี้ยวที่เกิดจากการเท้าคางเป็นเวลานานเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเบื่อ เป็นวิธีที่แก้ไขได้ง่าย โดยการสร้างความเข้าใจและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว
  2. การผ่าตัดขากรรไกร เหมาะสำหรับผู้ที่มีขากรรไกรล่างผิดปกติ ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก บางกรณีอาจต้องจัดฟันร่วมด้วย
  3. การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับกรณีคางเบี้ยวที่ไม่รุนแรง ช่วยปรับรูปคางให้สมดุล ทำให้ใบหน้ากระชับและมีสัดส่วนมากขึ้น
  4. การทำศัลยกรรมคาง เหมาะสำหรับผู้ที่มีคางเบี้ยวแต่กำเนิดหรือจากการทำศัลยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ มีสองวิธีคือแบบแผลนอกที่มีการกรีดที่ปลายคาง และแบบแผลในที่มีการกรีดที่ร่องเหงือกติดริมฝีปากล่าง โดยทั้ง 2 วิธีจะมีการเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ให้พอดีกับรูปหน้า

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา

  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน และห้ามเกาแผลโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและให้แผลหายได้ดี
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และออกกำลังกายหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วันหลังการผ่าตัด เพื่อให้แผลหายสมบูรณ์
  • ในช่วง 7 วันแรกให้ใช้หมอนสูงขณะนอนเพื่อช่วยลดอาการบวม โดยใน 3 วันแรกสามารถประคบเย็นได้ และหลังจากวันที่ 4 เป็นต้นไปให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่น
  • ในสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อรักษาความสะอาดของแผล
  • พบแพทย์ตามนัดเพื่อถอดเฝือกที่คางและประเมินอาการของแผล เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. คางบุ๋ม

3. คางบุ๋ม

คางบุ๋ม เป็นลักษณะที่พื้นผิวบริเวณคางไม่เรียบเนียน มีลักษณะเป็นคลื่นและมีร่องตรงกลางระหว่างคางทั้งสองข้าง บางรายอาจมีคางสองข้างที่มีขนาดไม่เท่ากัน แม้ว่าภาวะนี้จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย แต่ลักษณะที่ไม่สมมาตรและรอยบุ๋มบนคางอาจทำให้สัดส่วนใบหน้าดูไม่สมดุล ส่งผลต่อความมั่นใจได้

สาเหตุ

  • พันธุกรรม เกิดจากลักษณะโครงหน้าแต่กำเนิดที่มีร่องลึกตรงกลางกระดูกขากรรไกร กล้ามเนื้อ Mentalis สองมัดบริเวณเหนือคางแยกออกจากกัน ทำให้เกิดรอยบุ๋มที่สังเกตเห็นได้
  • การเปลี่ยนแปลงตามอายุ ไขมันบนใบหน้าและบริเวณคางลดลงตามอายุที่มากขึ้น ทำให้รอยบุ๋มเห็นชัดขึ้น กระดูกขากรรไกรและคางมีการฝ่อตัว ส่งผลให้ผิวไม่เรียบเนียนและเกิดร่องบริเวณริมฝีปาก
  • พฤติกรรมการแสดงออกทางสีหน้า การเม้มปากเวลาเครียดหรือใช้ความคิด การห่อริมฝีปากเป็นเวลานาน พบบ่อยในอาชีพที่ต้องใช้กล้ามเนื้อบริเวณปากมาก เช่น นักดนตรีประเภทเครื่องเป่า
  • ความผิดปกติของการสบฟัน การที่ฟันล่างยื่นเกินฟันบน ทำให้กล้ามเนื้อ Mentalis ทำงานตลอดเวลา ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณคางไม่เรียบเนียนและเกิดรอยบุ๋ม

วิธีแก้ไขรักษา

วิธีการแก้คางบุ๋มมีด้วยกัน 4 วิธีหลักๆ ดังนี้  

  1. การฉีดโบท็อกซ์คาง เหมาะสำหรับคางบุ๋มที่เกิดจากกล้ามเนื้อ ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งเป็นเวลานาน ทำให้ร่องตรงกลางเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน และมีความปลอดภัยสูง แต่ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณที่เหมาะสม
  2. การฉีดไขมัน เหมาะสำหรับคางบุ๋มที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ใช้ไขมันจากส่วนที่มีไขมันสะสม เช่น ต้นขาหรือหน้าท้อง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณคางดูอิ่มเต็มและรอยบุ๋มตื้นขึ้น
  3. การฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้สาร Hyaluronic Acid ฉีดเติมเต็มบริเวณคาง ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 CC ช่วยเติมรอยบุ๋มให้ฟูขึ้นและทำให้ผิวเรียบเนียน เห็นผลลัพธ์เร็วและชัดเจนที่สุดในบรรดาทั้ง 4 วิธี
  4. การศัลยกรรมเสริมคาง เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางบุ๋มร่วมกับคางสั้นไม่ได้สัดส่วน โดยแพทย์จะใช้ซิลิโคนเป็นวัสดุในการเสริมแต่ง ปรับขนาดให้เข้ากับสัดส่วนใบหน้าของผู้เข้ารับการรักษา พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความยาวของคางให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา

  • 24 ชั่วโมงแรกหลังการเติมไขมันคาง ควรงดการนวดหน้าและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าทุกชนิด
  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 8 ชั่วโมง 
  • ใช้หมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวมเป็นเวลา 2 – 3 วัน
  • ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด 
  • หลีกเลี่ยงสภาวะที่มีอุณหภูมิร้อนหรือเย็นจัด 
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 3 – 7 วัน
  • หลังการเติมไขมันคาง ควรงดการออกกำลังกายที่หนักเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ 
  • หากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม
4. คางยื่นหรือคางยาว

4. คางยื่นหรือคางยาว

คางยื่นมีลักษณะคางที่ยาวหรือมีฟันล่างยื่นจนเกยฟันบน ทำให้คางดูผิดปกติ โดยแบ่งความรุนแรงของปัญหาได้เป็น 2 ลักษณะ คือกรณีฟันสบกันได้ปกติ เป็นปัญหาที่ไม่รุนแรง เนื่องจากฟันล่างยื่นเกยฟันบนเพียงเล็กน้อย แม้จะทำให้คางดูยาวขึ้น แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากนัก 

แต่กรณีฟันสบกันไม่ได้ นับว่าเป็นปัญหาที่รุนแรง เพราะฟันล่างยื่นมากจนเกิดช่องว่างระหว่างฟันบนและล่าง ส่งผลให้ใบหน้าผิดรูป ไม่สมมาตร มีลักษณะกรามใหญ่ ปากอูม และคางยื่นยาว อาจมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น การเคี้ยวอาหารลำบาก หายใจติดขัด พูดไม่ชัด และนอนกรน จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดขากรรไกรเพื่อปรับโครงสร้างใบหน้าให้เข้ารูป

สาเหตุ

  • พันธุกรรม เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สมาชิกในครอบครัวมักมีลักษณะคางยื่นคล้ายกัน
  • ความผิดปกติของฮอร์โมน เกิดจากฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ที่ผิดปกติ ทำให้กระดูกขากรรไกรเติบโตมากกว่าปกติ กระดูกขากรรไกรบนและล่างอาจเจริญเติบโตไม่สมมาตรกัน
  • อุบัติเหตุ การได้รับการกระแทกที่คางอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้ขากรรไกรเกิดการเบี้ยว

วิธีแก้ไขรักษา

วิธีการแก้คางยื่นหรือคางยาวมีด้วยกัน 2 วิธีหลักๆ ดังนี้  

  1. การศัลยกรรมผ่าตัดขากรรไกร เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาคางยื่น โดยเฉพาะในกรณีที่มีความรุนแรง แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งขากรรไกรให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ฟันสบกันได้ตามปกติ 
  2. การจัดฟัน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาคางยื่น เนื่องจากฟันมีการเชื่อมต่อกับขากรรไกร โดยทันตแพทย์จะติดตั้งเครื่องมือจัดฟันเพื่อปรับตำแหน่งของฟันให้เข้าที่และสวยงาม ผู้เข้ารับการรักษาเลือกได้ว่าจะใช้เครื่องมือจัดฟันแบบโลหะหรือแบบใสตามความสะดวก

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา

  • รับประทานอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน เพื่อลดการออกแรงเคี้ยว
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งเพื่อบรรเทาอาการปวดบวม
  • ในช่วง 1 – 2 วันแรก ควรประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด 
  • นอนหงายโดยยกศีรษะให้สูงกว่าหน้าอกเพื่อลดอาการบวม ห้ามนอนตะแคงหรือคว่ำ
  • ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างระมัดระวัง โดยใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กหรือแปรงสีฟันเด็ก และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน บ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหารเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือน 
  • งดกิจกรรมที่มีการกระแทกหรือออกกำลังกายหนัก และควรมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา
5. คางสั้นหรือคางถอย

5. คางสั้นหรือคางถอย

คางถอยหรือคางสั้น เป็นภาวะที่คางถอยเข้าด้านในจนทำให้โครงสร้างใบหน้าส่วนล่างมีลักษณะขนานกับแนวราบ ส่งผลให้สัดส่วนผิดเพี้ยน ทำให้ใบหน้าดูเหลี่ยมหรือกลมและขาดมิติ นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ฟันยื่น ปากอูม และปัญหาในการเคี้ยวอาหาร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจได้

สาเหตุ

  • พันธุกรรม เป็นผลมาจากการถ่ายทอดยีนจากพ่อแม่ ทำให้มีโครงสร้างใบหน้าช่วงล่างที่สั้นตั้งแต่กำเนิด 
  • การหดตัวของกล้ามเนื้อ Mentalis เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณคางอย่างรุนแรง ทำให้เกิดร่องตรงกลางคางหรือคางบุ๋ม 
  • เนื้อแก้มมากเกินไป อาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เนื้อแก้มดึงบริเวณคางขึ้นทำให้คางดูสั้น 
  • ความผิดปกติของกระดูกขากรรไกร ส่งผลให้เกิดปัญหาฟันยื่น ฟันไม่สบกัน มีผลกระทบต่อการบดเคี้ยวอาหาร

วิธีแก้ไขรักษา

วิธีการแก้ไขปัญหาคางสั้นหรือคางถอยมี 2 วิธีหลักๆ ดังนี้

  1. การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อปรับรูปทรงคาง เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาคางสั้นหรือคางถอย โดยข้อดีคือเห็นผลทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น เจ็บน้อย ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ แต่มีข้อจำกัดคือเพิ่มความยาวคางได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร และผลลัพธ์ไม่ถาวร อยู่ได้เพียง 6 – 12 เดือนเท่านั้น
  2. การผ่าตัดเสริมคาง เป็นการผ่าตัดใส่ซิลิโคนเพื่อปรับรูปทรงคางแบบถาวร มี 2 วิธีคือการกรีดแผลในช่องปาก และการกรีดแผลนอกช่องปาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางถอยรุนแรง ผู้ที่มีปัญหาขากรรไกร ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร ไม่ต้องทำซ้ำบ่อยๆ

วิธีดูแลตัวเองหลังรักษา

  • ต้องนอนยกศีรษะสูงหรือใช้หมอนรองคอเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด เพื่อช่วยลดอาการบวม
  • ช่วง 3 วันแรกให้ประคบเย็นบริเวณรอบแผลผ่าตัด
  • หลังจากวันที่ 3 – 4 ให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นเพื่อลดรอยฟกช้ำ
  • ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • ในช่วง 1 เดือนแรก ควรงดออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก
  • ในช่วง 1 เดือนแรก ให้รับประทานเฉพาะอาหารอ่อนเหลว
  • บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด โดยหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปาก
  • ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการรับประทานยา การทำแผล และข้อห้ามต่างๆ 
  • หากพบอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
อาหารที่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคาง

อาหารที่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคาง

อาหารที่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคาง มีดังนี้

 

  • น้ำเปล่า ประมาณ 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการบวมช้ำ ช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ
  • อาหารที่มีไขมันดี เพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เช่น ปลาทะเล น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ
  • อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสังเคราะห์โปรตีนและคอลลาเจน สร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ไข่ ตับ อาหารทะเล ผักใบเขียว
  • อาหารที่มีโปรตีน เพื่อช่วยเร่งการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ เช่น เนื้อไก่ ปลา ถั่ว ไข่ นม
  • อาหารที่มีวิตามินซี เพื่อช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมสร้างหลอดเลือด เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี บรอกโคลี ผักใบเขียว

วัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิดมีสรรพคุณในการบำรุงและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำเอาวัตถุดิบเหล่านี้มามาสก์บริเวณใต้ตาเพื่อเป็นวิธีแก้ขอบตาดําจากการนอนดึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • แตงกวา นำแตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแผ่นมาประคบ เพื่อลดอาการบวมรอบดวงตา 
  • ถุงชา นำถุงชาใช้แล้วไปแช่เย็น แล้วนำมาประคบตา เพื่อช่วยให้เส้นเลือดใต้ตาหดตัวด้วยคาเฟอีน 
  • ใบบัวบก นำใบบัวบกคั้นสดมามาสก์ใต้ตา เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและลดริ้วรอย 
  • ว่านหางจระเข้ นำว่านหางจระเข้มาใช้นวดใต้ตาก่อนนอน เพื่อช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้แก่ผิว 
  • ไข่ไก่ นำไข่ไก่ต้มอุ่นๆ มาประคบใต้ตา เพื่อช่วยลดอาการบวมคล้ำใต้ตา 
  • มะขามเปียก นำมะขามเปียกผสมนมและน้ำผึ้งมามาสก์ใต้ตา เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส 
  • นมสด นำนมสดเย็นมามาสก์ใต้ตา เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น 
  • น้ำมันอัลมอนด์ นำน้ำมันอัลมอนด์ที่อุดมด้วยวิตามินอีมาสก์ใต้ตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดี
อาหารที่ไม่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคาง

อาหารที่ไม่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคาง

อาหารที่ควรงดและไม่ควรกิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหลังเสริมคางมีดังนี้

  • อาหารรสเผ็ดจัด เพราะอาจทำให้แผลแสบร้อนและติดเชื้อได้
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะรบกวนการหายของแผลและการออกฤทธิ์ของยา
  • อาหารหมักดอง เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้เกิดอาการบวม
  • อาหารทะเล เพราะมีโอกาสปนเปื้อนสูงและอาจทำให้แพ้ได้
  • วิตามินและอาหารเสริมบางชนิด หากจำเป็นต้องใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

แก้คางที่ HERS CLINIC ดีอย่างไร

  • ผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทางด้านการแก้คาง
  • ผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์กว่า 10,000 เคส
  • คุณหมอมีความชำนาญสูง มือเบา ไม่รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ไว และชัดเจน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย มีอย.
  • มีบริการให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อน-หลังทำศัลยกรรม และมีพนักงานดูแลเป็นอย่างดี
  • คลินิกมีความสะอาด และมีความปลอดภัยตามมาตรฐานโรงพยาบาล
  • มีเทคนิคเฉพาะ ช่วยลดอาการบวมหลังจากการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี 
  • คลินิกสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ติดกับสถานีรถไฟฟ้า
  • มีรีวิวมากมาย เพื่อประกอบการตัดสินใจ

สรุป

การเสริมคางคือการศัลยกรรมที่ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีสัดส่วนที่สมดุลและสวยงามยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางที่ไม่สมส่วน เช่น คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่น คางยาว หรือคางสั้น เพื่อทำให้ใบหน้ามีมิติและดูสมดุลมากขึ้น

 

การเสริมคางอาจทำให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น คางบวมเป็นก้อน คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่น คางยาว หรือคางสั้น ซึ่งสามารถแก้ไขและรักษาได้หลายวิธี เช่น การปรับพฤติกรรม การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบท็อกซ์ การฉีดไขมัน หรือการผ่าตัดตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี

เลือกวิธีรักษาคางบวมเป็นก้อน แก้คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางยื่น คางยาว คางสั้นที่ HERS Clinic เพราะที่นี่มีแพทย์มากประสบการณ์ ผ่านเคสมากว่า 10,000 เคส มีความชำนาญสูง มือเบา ไม่รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ไว และชัดเจน ลดอาการบวมหลังจากแก้คางได้เป็นอย่างดี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้คาง (FAQs)

ต่อไปเป็นช่วงถาม-ตอบคำถามที่หลายๆ คนสงสัยกัน ดังนี้

หลังการเสริมคาง แม้จะสามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ แต่ใน 2 สัปดาห์แรกควรระมัดระวังการรับประทานอาหารที่แข็งหรือต้องออกแรงเคี้ยวมาก เนื่องจากแผลยังไม่หายสนิทและอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือซิลิโคนเคลื่อนที่ได้ ดังนั้น จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มและเคี้ยวง่าย

การนอนตะแคงเป็นเวลานานสามารถส่งผลต่อรูปทรงใบหน้าได้ โดยด้านที่ถูกกดทับบ่อยๆ อาจมีขนาดเล็กกว่าอีกด้านหนึ่ง และยังอาจทำให้เกิดรอยย่นหรือผิวหย่อนคล้อยได้ แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่รุนแรงมาก แต่คนที่ชอบนอนตะแคงควรหลีกเลี่ยงการนอนทับด้านเดียวเป็นเวลานานๆ และควรสลับท่านอนเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับใบหน้า

ระยะเวลาการรัดแกนหลังการเสริมคางจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี ดังนี้

  1. การเสริมคางใหม่ มีอาการบวมมากในช่วง 3 – 7 วันแรก ใช้เวลารัดแกนประมาณ 1 – 3 เดือน คางจะค่อยๆ เข้าที่และเริ่มเห็นรูปทรงที่แท้จริง
  2. การแก้ไขคางเดิม ใช้เวลารัดแกนประมาณ 3 – 6 เดือน กรณีที่มีการขูดสารเหลวบริเวณคางก่อนเสริม อาจใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี

ทั้งนี้ ระยะเวลาการรัดแกนไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดของแต่ละคน โดยกระบวนการรัดแกนของคางจะใช้เวลานานกว่าการทำจมูก

ผลลัพธ์ของการเสริมคางด้วยซิลิโคนสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีแรกหลังการผ่าตัด โดยควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ซิลิโคนเคลื่อนที่ เช่น การนอนคว่ำหรือการเท้าคาง และหากไม่เกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนบริเวณคางหรือเกิดการอักเสบ ก็ไม่จำเป็นต้องทำการเสริมคางใหม่

สระผมหลังเสริมคางได้ แต่ในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีข้อควรระวังคือห้ามก้มหน้าสระผมเด็ดขาด เพราะอาจกระทบกระเทือนบริเวณที่ผ่าตัด ควรใช้วิธีนอนหงายสระผมแทน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อแผลและการเข้าที่ของซิลิโคน