หลายท่านที่กำลังตัดสินใจจะทำศัลยกรรม อาจจะยังสับสนในเรื่องการใช้“ยาชา”หรือการใช้“ยาเบลอ”ในการผ่าตัด การเลือกใช้ประเภทของยาชาหรือยาเบลอขึ้นอยู่กับลักษณะของการผ่าตัด ขั้นตอนการผ่าตัด รวมถึงระยะเวลาการทำหัตถการนั้นด้วย ซึ่งหากเราผ่าตัดโดยไม่ได้อาศัยการใช้ยาช่วย จะทำได้รับความเจ็บปวดและทำให้การผ่าตัดไม่สำเร็จ ฉะนั้นการผ่าตัดจึงได้มีการฉีดยาชาเฉพาะที่ การใช้ยาเบลอ หรือใช้การดมยาสลบ ซึ่งการใช้ยาที่เหมาะกับการผ่าตัดแต่ละหัตถการสามารถเลือกได้หลากหลายประเภท
ดังนั้นการผ่าตัดศัลยกรรมหรือการเลือกผ่าตัดโดยเทคนิคการฉีดยาชาหรือการใช้ยาเบลอนั้น ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาดูกันว่าการใช้ยาสำหรับวิธีที่เหมาะสมกับการทำหัตถการของเรา และปลอดภัยต่อเรามากที่สุดควรเลือกประเภทใด ทั้งนี้การเลือกของเราต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำหัตถการร่วมด้วย
การฉีด ยาชา
การฉีดยาชา
การฉีดยาชา คือการใช้ยาชาชนิดที่ทำให้บริเวณที่ได้รับการฉีดเกิดการชา หรือสูญเสียความรู้สึกชั่วคราว โดยที่คนไข้ยังคงรู้สึกตัวอยู่ การฉีดยาชามักใช้ในกรณีที่มีการรักษาหรือการผ่าตัดเล็กๆ เช่น การถอนฟัน หรือการทำหัตถการบนผิวหนัง ยาชาจะทำงานโดยการบล็อกสัญญาณจากเส้นประสาทในบริเวณที่ได้รับการฉีด ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่สามารถตื่นตัวและร่วมมือกับทีมแพทย์ได้
ประเภทของการฉีด ยาชา
1. การใช้ยาชาเฉพาะที่
- ใช้ในกรณีที่ต้องการบรรเทาอาการเจ็บปวดเฉพาะจุด เช่น การทำหัตถการทางทันตกรรม หรือการตัดเนื้องอกเล็ก ๆ
- ยาชาประเภทนี้จะทำให้บริเวณที่ฉีดยาชาจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่คนไข้ยังคงรู้สึกตัวตลอดเวลา
2. การใช้ยาชาเฉพาะส่วน
- ใช้สำหรับการทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายชา เช่น การทำคลอดหรือการผ่าตัดในส่วนของขาหรือแขน
- ยาชานี้จะถูกฉีดหรือใช้เพื่อบล็อกการรับรู้ความเจ็บปวดจากกลุ่มเส้นประสาทในบริเวณนั้น ๆ
การฉีด ยาชา เหมาะกับการทำศัลยกรรมแบบใด
- การทำหัตถการในช่องปาก เช่น ถอนฟัน ผ่าฟันคุด หรือผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
- การผ่าตัดศัลยกรรมเล็กบริเวณใบหน้า เช่น เสริมจมูก ทำตาสองชั้น หรือเสริมคาง
- การฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดสารเติมเต็มบนใบหน้า
ข้อดี
- ลดอาการเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ ช่วยให้คนไข้ไม่เจ็บระหว่างทำการรักษา
- ใช้ในกรณีที่ต้องการทำให้พื้นที่เฉพาะเจาะจงชา หรือไม่มีความรู้สึก ขณะเดียวกันคนไข้ยังรู้สึกตัวและสามารถตอบสนองได้
- การฟื้นตัวที่รวดเร็ว การใช้ยาชาเฉพาะที่หรือเฉพาะกลุ่มทำให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ยาชาทั่วไป เนื่องจากไม่ต้องมีการฟื้นสติหลังการใช้ยาชา
- การทำหัตถการบางประเภท เช่น การทำแผลเล็กๆ หรือการผ่าตัดเล็กๆ คนไข้อาจต้องการยังคงมีสติสัมปชัญญะและสามารถตอบสนองได้ ซึ่งยาชาเฉพาะที่เป็นทางเลือกที่ดี
ข้อควรระวัง
- การเลือกยาชาให้เหมาะสม : ควรเลือกยาชาที่เหมาะสมเช่น ยาชาแบบฉีดหรือยาชาแบบทา ให้เหมาะกับประเภทของการทำหัตถการของคนไข้
- การตรวจสอบประวัติการแพ้ยา : ก่อนการฉีดยาชา ควรสอบถามประวัติการแพ้ยาของคนไข้เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพ้ยา
- การควบคุมปริมาณยา : ควรคำนึงถึงขนาดของพื้นที่ที่ต้องการให้ยาชาและปริมาณยาที่ใช้ เพื่อไม่ให้เกิดการยาชาเกินขนาด
- การสังเกตอาการข้างเคียง : หลังการฉีดยาชา ควรเฝ้าระวังอาการข้างเคียง เช่น การปวด,บวม,มีผื่นจุดที่ฉีดยา รวมถึงอาการชาของร่างกายคนไข้ การหายใจผิดปกติไหม
- การตรวจสุขภาพ : ควรตรวจสอบสุขภาพทั่วไปของคนไข้ เช่น ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ยาชา
ยาเบลอ
การใช้ยาเบลอ
ยาเบลอ ที่เรียกกันทั่วไปว่า ยาระงับความรู้สึกในระดับปานกลาง (Moderate Sedation) หรือ Twilight Sedation คือการใช้ยากล่อมประสาทที่ทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายหรือง่วงนอน ระดับของยาเบลอมีความแตกต่างกันไปตามความต้องการของการรักษา เช่น ในการทำหัตถการที่ไม่ต้องการให้คนไข้รู้สึกตัวมากเกินไป การผ่าตัดที่ต้องใช้เวลานาน ยาเบลอสามารถทำให้คนไข้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย หรือในบางกรณีอาจทำให้ผู้ป่วยหลับลึกจนไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้จนกว่าจะทำการรักษาหรือผ่าตัดเสร็จสมบูรณ์
ยาเบลอ เหมาะกับการทำศัลยกรรมแบบใด
- ผ่าตัดด้านศัลยกรรมความงาม เช่น ดูดไขมันตำแหน่งต่างๆบนร่างกาย เป็นต้น
- คนที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเนื้องอกขนาดเล็ก การผ่าตัดไส้ติ่ง
- การทำหัตถการในช่องปาก เช่น การทำรากฟันเทียม การผ่าตัดในช่องปาก
ข้อดี
- ลดความเครียดทำให้คนไข้ผ่อนคลายไม่ตื่นตระหนก ช่วยลดความวิตกกังวลและความตื่นเต้นขณะทำหัตถการ
- ไม่ต้องงดอาหารก่อนผ่าตัด เนื่องจากยาออกฤทธิ์น้อยกว่าการใช้ยาสลบแบบดมที่ต้องอาศัยการใส่ท่อ
- หลังทำหัตถการสามารถฟื้นตัวได้ไว และกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ
ข้อควรระวัง
- การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- เลือกยาให้เหมาะสมกับหัตถการที่คนไข้เลือกทำ ปรับระดับยาในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
- ไม่เหมาะสำหรับทุกคน ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไต อาจไม่สามารถใช้ยาเบลอได้
สรุป
การ”ฉีดยาชา”และการใช้”ยาเบลอ”เป็นวิธีการที่สำคัญในการทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายหรือลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษาหรือผ่าตัด การใช้ยาทั้งสองชนิดต้องคำนึงถึงสุขภาพและข้อควรระวังที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการรักษา การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์
ข้อแตกต่างขอการใช้ยาชา VS ยาเบลอ
• การฉีดยาชา : ใช้ในกรณีที่ต้องการทำให้พื้นที่เฉพาะเจาะจงให้ชาหรือไม่มีความรู้สึก ขณะเดียวกันคนไข้ยังรู้สึกตัวและสามารถตอบสนองได้
• ยาเบลอ : ใช้เพื่อทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลาย หรือหลับลึกขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับของการใช้ยา